ก่อนที่จะเลือกใช้ระบบ ERP ใด ๆ ก็ตาม หลายองค์กรมักมองไปที่ค่าใช้จ่ายเป็นหลัก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากมองเพียงตัวเลขตรงหน้า โดยไม่เข้าใจถึงโครงสร้างที่แท้จริงของ Odoo ราคา (https://www.dynamics-motion.com/odoo-enterprise) ก็อาจทำให้การวางงบประมาณคลาดเคลื่อนได้อย่างมาก ความยืดหยุ่นของ Odoo ทั้งในแง่ของฟีเจอร์ โมดูล และการปรับแต่ง ทำให้ต้นทุนของระบบนี้ไม่ได้เป็นแบบ One-size-fits-all องค์กรจึงควรเข้าใจว่าราคาสุดท้ายที่จ่ายไปนั้น ขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบที่สามารถควบคุมและวางแผนล่วงหน้าได้ หากพิจารณาให้รอบด้านตั้งแต่ต้น จะช่วยให้การลงทุน ERP มีความชัดเจนมากขึ้น และลดความเสี่ยงในการเจอค่าใช้จ่ายแฝงในระยะยาว
ขนาดธุรกิจกับจำนวนผู้ใช้: ความสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อภาพรวมค่าใช้จ่าย
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อราคาของระบบ ERP คือจำนวนผู้ใช้งานที่ระบบต้องรองรับ Odoo เองมีโมเดลการคิดค่าบริการที่ยืดหยุ่น โดยจะคิดค่าลิขสิทธิ์เป็นรายผู้ใช้ต่อเดือนหรือรายปี ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ในเชิงกลยุทธ์แล้วมีผลไม่น้อยต่อการวางโครงสร้างต้นทุน หากองค์กรวางแผนกำลังคนในระบบไว้ไม่สอดคล้องกับการใช้งานจริง ก็อาจเสียค่าใช้จ่ายส่วนเกินโดยไม่จำเป็น ตรงกันข้าม หากประเมินจำนวนผู้ใช้ต่ำเกินไปก็อาจทำให้ระบบล่าช้าและขาดประสิทธิภาพในการดำเนินงาน จุดนี้จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบระหว่างแผนการเติบโตและการลงทุนระยะยาว
โมดูลที่เลือกใช้: แต่ละฟังก์ชันมีมูลค่ามากกว่าที่คิด
ระบบ Odoo ไม่ได้มีแค่โมดูลบัญชีหรือคลังสินค้าเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง CRM, HR, Manufacturing, eCommerce และอีกมากมาย ซึ่งแต่ละโมดูลย่อมมีค่าใช้จ่ายต่างกันไป ไม่ใช่แค่ในแง่ของลิขสิทธิ์ แต่รวมถึงต้นทุนในการติดตั้ง ตั้งค่า และเทรนนิ่งการใช้งานด้วย สิ่งที่หลายองค์กรมักมองข้ามคือ การเลือกใช้โมดูลโดยไม่วิเคราะห์กระบวนการทำงานของตัวเองก่อน อาจทำให้ต้องจ่ายเพิ่มในฟีเจอร์ที่ไม่ได้นำมาใช้จริง ดังนั้น การวิเคราะห์ Business Flow อย่างละเอียดก่อนเลือกว่าโมดูลไหนจำเป็นหรือไม่จำเป็น จะช่วยควบคุมงบประมาณได้ดีกว่าการติดตั้งทุกอย่างไว้ก่อน
(https://i.postimg.cc/WzZRvjwJ/11.jpg)